การเช็คท่อลมร้อน ในโรงงานที่ผ่านมาตรฐานการทดสอบการตรวจสอบท่อลมร้อนในโรงงานที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานมาแล้ว (เช่น ผ่าน Pressure Test, NDT และ Hot Commissioning) ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะการทดสอบเป็นการยืนยันความสมบูรณ์ ณ จุดเริ่มต้น แต่การใช้งานจริงในระยะยาวจะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพ, การสึกหรอ, หรือความเสียหายที่อาจไม่ปรากฏในทันที การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นการบำรุงรักษาเชิงป้องกันที่สำคัญ เพื่อรักษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบ
นี่คือวิธีการและจุดที่ควรเน้นในการตรวจสอบท่อลมร้อนที่ผ่านการทดสอบแล้ว:
1. การตรวจสอบด้วยสายตาอย่างสม่ำเสมอ (Routine Visual Inspection)
ความถี่: ควรทำเป็นประจำ (เช่น รายวัน/รายกะโดยผู้ปฏิบัติงาน, รายสัปดาห์/รายเดือนโดยช่างเทคนิค)
จุดที่ต้องตรวจสอบ:
สภาพฉนวนและวัสดุหุ้ม (Insulation & Cladding):
มองหารอยแตก, รอยบุบ, การฉีกขาด, การหลุดลอก, หรือการยุบตัวของฉนวน
สังเกตการเปลี่ยนสีของฉนวนหรือ Cladding ที่อาจบ่งชี้ถึงความร้อนรั่วหรือการเสื่อมสภาพ
ตรวจสอบรอยต่อของวัสดุหุ้มว่ายังคงปิดสนิทดีหรือไม่ เพื่อป้องกันน้ำและความชื้นแทรกซึม (ลดความเสี่ยง CUI)
รอยเชื่อมและข้อต่อ:
มองหาร่องรอยการรั่วไหล (คราบ, ไอน้ำ, รอยไหม้) ที่รอยเชื่อม, หน้าแปลน, ข้อต่อ, และวาล์ว
ตรวจสอบสนิม, การกัดกร่อน, หรือรอยแตกเล็กๆ บนพื้นผิว
ตรวจสอบความแน่นของสลักเกลียวที่หน้าแปลน
ระบบรองรับท่อ (Pipe Supports):
ตรวจสอบความแข็งแรง, การสึกหรอ, สนิม, หรือความเสียหายของ Support
สำหรับ Sliding/Roller Supports: ตรวจสอบว่าท่อสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ ไม่ติดขัด หรือเสียหาย
Expansion Joints/Loops:
ตรวจสอบรอยแตกร้าว, การรั่วไหล, หรือการเคลื่อนที่ที่ผิดปกติ (เช่น การบิดตัว)
สังเกตว่ามีการสะสมของความเค้นหรือการบิดเบี้ยวของท่อบริเวณใกล้เคียงหรือไม่
สภาพแวดล้อมโดยรอบ: ตรวจสอบว่าไม่มีวัสดุไวไฟอยู่ใกล้ท่อลมร้อนเกินไป และไม่มีสิ่งกีดขวางทางเข้าถึงท่อ
2. การตรวจสอบด้วยเครื่องมือพิเศษ (Instrumented Inspection)
ควรทำตามตารางเวลาที่กำหนด (เช่น รายเดือน, รายไตรมาส, รายปี) โดยบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรม:
กล้องถ่ายภาพความร้อน (Thermal Camera):
วัตถุประสงค์: ตรวจจับจุดร้อน (Hot Spots) บนผิวฉนวน ซึ่งบ่งชี้ถึงการรั่วไหลของความร้อน, ฉนวนเสียหาย, หรือความเสี่ยงของ Corrosion Under Insulation (CUI)
ประโยชน์: สามารถทำได้ขณะระบบทำงาน, ปลอดภัย, รวดเร็ว, และเห็นภาพชัดเจน
เครื่องตรวจจับการรั่วไหลด้วยเสียงอัลตราโซนิก (Ultrasonic Leak Detector):
วัตถุประสงค์: ตรวจจับเสียงความถี่สูงที่เกิดจากการรั่วไหลของลมร้อนผ่านรอยแตกขนาดเล็กที่มองไม่เห็นหรือไม่มีสัญญาณความร้อนชัดเจน
ประโยชน์: เหมาะสำหรับตรวจจับการรั่วไหลเล็กๆ น้อยๆ และในบริเวณที่มีเสียงรบกวนสูง
การวัดความหนาด้วยคลื่นอัลตราโซนิก (Ultrasonic Thickness Gauging - UT):
วัตถุประสงค์: วัดความหนาของผนังท่อจากภายนอก เพื่อติดตามการกัดกร่อนภายในท่อ (Internal Corrosion) และประเมินอายุการใช้งานที่เหลืออยู่ของท่อ
ความถี่: มักทำตามตารางเวลาที่กำหนด (เช่น ทุก 1-3 ปี) โดยเน้นจุดที่มีความเสี่ยงสูง
3. การควบคุมและตรวจสอบการทำงาน (Operational Monitoring)
ตรวจสอบพารามิเตอร์การทำงาน: บุคลากรผู้ควบคุมระบบควรตรวจสอบค่าอุณหภูมิและแรงดันที่แสดงบนหน้าจอควบคุมและเกจวัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าระบบทำงานอยู่ในขีดจำกัดที่ออกแบบไว้
บันทึกข้อมูล: บันทึกข้อมูลการทำงานที่สำคัญ เช่น อุณหภูมิ, แรงดัน, ปริมาณลม, และเวลาทำงาน เพื่อใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มและระบุความผิดปกติ
4. การบำรุงรักษาเชิงรุกและแก้ไข (Proactive & Corrective Actions)
ขันสลักเกลียวซ้ำ (Re-torqueing): สำหรับหน้าแปลนที่อาจมีการคลายตัวเนื่องจากความร้อน ควรมีการขันสลักเกลียวซ้ำตามตารางเวลาที่กำหนด
ซ่อมแซมทันที: หากพบความเสียหายของฉนวน, รอยรั่วเล็กน้อย, หรือสนิม ต้องดำเนินการซ่อมแซมทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้
จัดการ CUI: หากมีข้อสงสัยหรือสัญญาณบ่งชี้ CUI ต้องมีกระบวนการถอดฉนวนออกเพื่อตรวจสอบสภาพท่ออย่างละเอียดและดำเนินการซ่อมแซมที่จำเป็น
5. การจัดทำบันทึกและวิเคราะห์ (Documentation & Analysis)
บันทึกการตรวจสอบ: จัดทำบันทึกผลการตรวจสอบทั้งหมดอย่างละเอียด พร้อมระบุวันที่, ผู้ตรวจสอบ, ข้อสังเกต, และการดำเนินการแก้ไขใดๆ
วิเคราะห์แนวโน้ม: ใช้ข้อมูลที่บันทึกไว้เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มการเสื่อมสภาพ และวางแผนการบำรุงรักษาครั้งใหญ่ หรือการเปลี่ยนอะไหล่ล่วงหน้า (Predictive Maintenance)
ข้อควรระวังด้านความปลอดภัยในการตรวจสอบ:
PPE: บุคลากรที่ทำการตรวจสอบต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ที่เหมาะสม เช่น ถุงมือกันความร้อน, แว่นตานิรภัย, ชุดป้องกันความร้อน
ระมัดระวังความร้อน: ตระหนักถึงความร้อนสูงของท่อเสมอ ห้ามสัมผัสโดยตรง และใช้เครื่องมือช่วยในการตรวจสอบหากจำเป็น
แจ้งความผิดปกติ: หากพบสิ่งผิดปกติที่เป็นอันตราย (เช่น การรั่วไหลรุนแรง) ต้องแจ้งผู้ควบคุมและหยุดการทำงานของระบบทันที เพื่อดำเนินการแก้ไขอย่างปลอดภัย
การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอและทั่วถึงนี้ จะช่วยให้โรงงานสามารถรักษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบท่อลมร้อนที่ผ่านการทดสอบมาแล้ว ให้ทำงานได้อย่างราบรื่นและยืดอายุการใช้งานไปได้อีกนานครับ