ชวนสังเกตอาการโรคไตเริ่มแรก พร้อมแนวทางการป้องกันโรคไต เป็นโรคที่เกิดขึ้นเมื่อไตเกิดความเสียหายจนกระบวนการทำงานผิดปกติไป โดยอาการโรคไตเริ่มแรกจะสังเกตได้ค่อนข้างยากและมักมีลักษณะอาการแสดงที่ค่อนข้างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับชนิดและสาเหตุของโรค อย่างไรก็ตาม หากเราทราบแนวทางการสังเกตอาการโรคไตเริ่มแรก ก็อาจนำใช้ไปสังเกตตนเองและคนใกล้ตัวได้ และอาจช่วยให้เข้าถึงการรักษาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ไตเป็นอวัยวะที่มี 2 ชิ้น อยู่บริเวณเหนือเอวทั้งสองข้าง มีขนาดประมาณข้างละ 1 กำมือ มีหน้าที่หลัก ๆ คือ ช่วยกรองของเสียและของเหลวส่วนเกินจากร่างกายผ่านการขับปัสสาวะ เนื่องจากไตของผู้ป่วยโรคไตทำงานผิดปกติ ผู้ป่วยจึงมักมีของเสียสะสมอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและการเสียชีวิตได้
รู้จักกับอาการโรคไตเริ่มแรก
โรคไตจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง โดยอาการโรคไตเริ่มแรกก็มักจะแตกต่างกันในแต่ละชนิด ดังนี้
โรคไตชนิดเฉียบพลัน (Acute Kidney Disease)
โรคไตชนิดนี้มักเกิดขึ้นเมื่อเลือดในร่างกายไปหล่อเลี้ยงไม่พออย่างฉับพลัน โดยสาเหตุที่มักพบ เช่น การเกิดอุบัติเหตุที่ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียเลือดในปริมาณมาก การเกิดภาวะช็อก (Shock) หรือป่วยเป็นในกลุ่มโรคภูมิคุ้มกันต้านตนเอง (Autoimmune diseases) อย่างโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Lupus)
โดยอาการที่อาจพบได้ เช่น
ปัสสาวะน้อยลง
เกิดอาการบวมบริเวณขา ข้อเท้า และเท้า
อ่อนเพลีย
หายใจไม่อิ่ม
สับสน
เจ็บหน้าอก
หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตชนิดนี้จะพบว่า ประสิทธิภาพการทำงานของไตค่อย ๆ ลดลง โดยสาเหตุหลักที่มักพบได้บ่อย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง กรวยไตอักเสบ การติดเชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันต้านตนเอง และการใช้ยาบางชนิดเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะยาในกลุ่มเอ็นเสด
สำหรับผู้ป่วยในกลุ่มนี้ อาการโรคไตเริ่มแรกจะมักสังเกตได้ยาก หรือมักไม่พบเลยจนโรคเริ่มมีความรุนแรง โดยเมื่อเริ่มเกิดอาการ อาการที่อาจพบได้ เช่น
ปัสสาวะบ่อยขึ้น โดยเฉพาะตอนกลางคืน
บริเวณเท้าและข้อเท้าเกิดอาการบวมและเมื่อกดจะมีลักษณะบุ๋มลงไป
ผิวแห้ง คันผิว
คลื่นไส้ อาเจียน
ในกรณีผู้หญิงอาจพบภาวะขาดประจำเดือน
ในกรณีผู้ชายอาจพบว่าความต้องการทางเพศลดลง
ป้องกันตัวเองจากโรคไตอย่างไรดี
เพื่อสุขภาพไตที่แข็งแรง และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต การทำตามวิธีดังต่อไปนี้อาจช่วยได้ ได้แก่
เข้ารับการตรวจไตอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง อย่างผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติเกิดอาการป่วยเกี่ยวกับไต
ผู้ที่มีโรคประจำตัวใด ๆ โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด หวานจัด มีไขมันสูง อาหารแปรรูป อาหารกระป๋อง และอาหารหมักดอง
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ดื่มน้ำ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือประมาณ 6–8 แก้ว/วัน
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ควมคุมน้ำหนักตัว
ผู้ที่รับประทานยาใด ๆ อยู่ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เภสัชกร หรือฉลากยาอย่างเคร่งครัด
หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะนาน ๆ
หลีกเลี่ยงการดื่มที่มีแอลกอฮอล์
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
ทั้งนี้ อาการบางอย่างของโรคไตอาจจะดูเป็นอาการที่พบได้ทั่วไป ซึ่งสามารถเกิดได้จากโรคอื่นเช่นกัน แต่โรคไตเป็นโรคที่ควรได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด อีกทั้งการได้รับการตรวจและการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ยังอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ ดังนั้น ผู้ที่พบอาการที่เข้าข่ายอาการโรคไตเริ่มแรกควรรีบไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรับการตรวจ